วิธีรักษาสิวอุดตัน

วิธีรักษาสิวอุดตัน

“สิวอุดตัน” เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราเป็นอย่างมาก เพราะขึ้นได้ทุกที่ไม่ว่าจะที่หลัง ที่หน้า ที่แขน แม้ว่าสิวจะไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็เป็นปัญหาใหญ่ของใบหน้าที่บดบังความสวยใสของผิวให้หมดไปไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย โดยเฉพาะสิวอุดตันที่ผุดขึ้นมาเป็นเม็ดๆทั่วทั้งหน้าและรักษาให้หายได้ยาก เราเลยต้องหาวิธีรักษาสิวอุดตันที่ดีที่สุด วันนี้ลองมาทำความรู้จักสิวอุดตันกันให้ละเอียดเลยดีกว่า ไม่ว่าจะลักษณะของสิว สาเหตุของการเกิดสิว ว่าสิวเกิดจากอะไรวิธีการป้องกันและรักษาสิวให้หาย รวมทั้งรอยแผลจากสิวด้วย

สิวเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดจากอะไร

สาเหตุของการเกิดสิวนั้นเป็นที่เป็นที่พูดถึงและถกเถียงกันมานานแต่ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิด อย่างไรก็ตาม แพทย์ทุกคนล้วนมีความเห็นร่วมกันว่า การเกิดสิวนั้นมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนในร่างกาย และพันธุกรรมมีส่วนที่ทำให้เกิดสิวแตกต่างกันไป นอกจากนี้ ยาบางชนิด, การสูบบุหรี่, ความเครียดและการดูแลผิวอย่างไม่ถูกวิธีล้วนกระตุ้นให้เกิดสิวได้ แต่จริงๆแล้วการเกิดสิวนั้นล้วนแต่ก่อตัวขึ้นจากสิวอุดตันขนาดเล็กมากที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าใต้ผิวหนัง อีกทั้งยังมีหลักฐานยืนยันว่าอาหารมีผลต่อการเกิดสิว ผิวหนังปกติมีความชุ่มชื้นเนื่องจากต่อมใต้ผิวหนังผลิตซีบัมส่งผ่านท่อเล็ก ๆ ขึ้นมาหล่อเลี้ยง สิวเกิดขึ้นเมื่อท่อเล็ก ๆ นี้ถูกอุดตันซีบัมผสมกับผนังท่อรวมกันเป็นก้อนใหญ่ สภาวะที่รูขุมขนเกิดการอุดตัน ส่วน ไมโครโคมีโดน คือชื่อเรียกสิวอุดตันที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งเกิดจากการสร้างชั้นเคราตินของเซลล์ผิวหนัง ในกรณีของผิวที่มีสุขภาพดี ไม่มีปัญหาผิว ไมโครโคมีโดนจะสลายไปเองตามธรรมชาติ แต่ในกรณีของผิวที่แห้งหรือมีปัญหา ตอนที่ไมโครโคมีโดนสลายตัว จะเกิดการอักเสบใต้ชั้นผิวด้วย เรียกว่า การอักเสบชนิดไม่รุนแรง ดันขึ้นมาเป็นตุ่มเล็ก ๆ เรียกว่า สิวหัวขาว หากผสมกับเม็ดสีซึ่งอยู่ที่ผิวหนังก็กลายเป็นสิวหัวดำได้ ถ้ามีเชื้อจุลินทรีย์อยู่บนผิวจะทำให้อักเสบเป็นรอยแดงและอาจจะเป็นหนองได้ เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อแบคทีเรีย แต่ว่าอาการเหล่านี้จะหายไปเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น

เราจะเห็นว่าฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงมากในช่วงวัยรุ่นทำให้เด็กวัยนี้เป็นสิวมากกว่าวัยอื่น เพราะฮอร์โมนกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานหนักและผลิตไขมันมากขึ้น ทำให้มีโอกาสที่ท่อจะอุดตันเพิ่มขึ้นการรักษาหรือป้องกันสิวจึงจำเป็นต้องกำจัดที่สาเหตุ นั่นคือลดการสร้างไขมันบนใบหน้า ซึ่งการที่หน้ามันนั้น เราต้องไปดูที่สาเหตุว่า เกิดจากหน้าเราแห้ง ต่อมผลิตไขมันจึงผลิตไขมันออกมาเพื่อปกป้องความชุ่มชื้นของผิวหน้ารึเปล่าด้วย ถ้าสาเหตุเกิดจากหน้าแห้ง ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว เพื่อลดความมันและป้องกันการอุดตันของท่อซีบัม และพยายามทำความสะอาดผิวหน้าเพื่อลดเชื้อโรคที่ผิวหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้สิวอักเสบลุกลาม

จะเห็นได้ว่าสิวไม่ได้เกิดจากการกินอาหาร แม้ยังไม่พบหลักฐานชัดเจนว่าเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการเกิดสิว หรือการมีสุขลักษณะที่ไม่ดี แต่การดูแลรักษาสุขภาพและสุขอนามัย ย่อมเกิดประโยชน์ต่อร่างกายโดยรวม และการเลิกทานอารหารบางอย่างไม่น่าจะทำให้สิวหายได้ น่าจะเกิดจากการเข้าใจผิดกันไปเองระหว่างสิวและผื่นที่เกิดจากการแพ้อาหาร ผื่นแดงที่ผิวหนังเป็นอาการแพ้อาหารอย่างหนึ่งซึ่งป้องกันได้โดยการเลิกกินอาหารชนิดนั้น และอาหารอีกชนิดที่คนมีความเชื่อกันมาผิดๆคือ ช็อกโกแลต แสนอร่อย ถ้ากลับไปอ่านด้านบนลงมาจะรู้ว่า คนที่กินช็อกโกแลตแล้วพบว่าสิวกำเริบขึ้นนั้น อาจจะไม่ใช่เพราะช็อกโกแลต น่าจะมาจากสาเหตุอื่นมากกว่า

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้นต่างหากทำให้สิวกำเริบ เช่น ความเครียด

ไม่ว่าความเครียดจะมาจากการเรียนหรือการทำงาน ก็มีผลกับการหลั่งฮอร์โมนเหมือนกัน ทำให้เกิดสิวทางอ้อม ถ้าจิตใจเราสดใส นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ อารมณ์ดี สิวก็จะลดลงไปด้วย บางคนอาจจะอยากลดอ้วน แต่ว่าเครียด อยากกินช็อกโกแลตแก้เครียด แต่ก็เครียดอยากลดอ้วน เอ้า งง กับตัวเองไปกันใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามความรู้สึกผิดก็ทำให้เกิดความเครียดอยู่ดี ก็ทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน

อย่างที่ข้างบนได้กล่าวไปอาหารอาจจะไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่สุขภาพผิวของคนเราก็ยังขึ้นอยู่กับสารอาหารที่เราทานเข้าไปอยู่ดีการกินอาหารไม่ถูกครบ 5 หมู่จนร่างกายขาดสารอาหารบางอย่าง จะปรากฏอาการผิดปกติที่ผิวหนัง เช่น การขาดวิตามินเอ กรดไขมันที่จำเป็น วิตามินบีสอง และไนอาซีน ทำให้ผิวหนังแห้ง ลอก เป็นขุย และแตกเป็นผื่นหรือมีตุ่มเล็ก ๆ ขึ้น

แต่มีอาหารบางอย่างอาจเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว เช่น สาหร่ายทะเล ผักโขม และหอย ซึ่งมีไอโอดีนและฟลูออไรด์ที่ทำให้เกิดการอักเสบของสิวมากขึ้น รวมไปถึงแป้ง น้ำตาล นมหรือแปรรูปจากนม ทานมากไปก็อาจทำให้เกิดสิวอักเสบได้หมือนกัน เนื่องจากในน้ำนมจะมีสารบางตัวและฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดสิวอยู่ เราจึงควรระวังสารที่อยู่ในอาหารต่างหากที่เป็นสาเหตุของสิวอักเสบ หรือในคนที่น้ำเหลืองไม่ดี ทำให้เกิดสิวบนใบหน้าง่าย และโดยที่จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวเวลาทานอะไรควรระวังไว้ เพราะพอเป็นสิวก็ทำให้เครียดขึ้นกว่าเดิม พอเครียดสิวก็ขึ้นอีก ซ้ำไปซ้ำมาจนเต็มหน้า คนน้ำเหลืองไม่ดี ดูได้ง่ายๆจาก แผลหายยาก พอมีแผลแล้วเป็นหนอง คนที่น้ำเหลืองไม่ดีควรจะเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารทะเล อาหารรสจัด และสำหรับวัยรุ่นที่ใส่ใจกับผิวหน้า ควรจะคอยดูแลให้ผิวหน้าสะอาดอยู่เสมอ และเอาใจใส่เรื่องอาหารการกิน ต้องกินอาหารครบทั้ง 5 หมู่ การเลือกกินเพียงหมู่หนึ่งหมู่ใด เช่น กินเนื้อสัตว์มาก และไม่ค่อยทานผักผลไม้ ย่อมไม่ได้ผล เพราะนอกจากจะให้เกลือแร่และวิตามินสูงแล้ว หมู่ผักและผลไม้ยังมีไฟเบอร์สูง ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น ลดอาการร้อนในอีกต่างหาก

ในตอนนี้ ยังไม่พบการวิจัยใดๆว่าการกินวิตามินเสริมช่วยรักษาสิวได้ สามารถทดแทนส่วนที่ขาดได้อย่างเดียว แต่เราควรทำความเข้าใจว่า เราควรทานอาหารให้ครบถูกทุกสัดส่วนมากกว่า เพื่อให้ได้รับสารอาหารเพียงพอและสร้างความสมดุลกับร่างกาย ก็จะลดต้นเหตุการเกิดสิวได้

สิวอุดตันคืออะไร ?

สิวอุดตัน โดยทั่วไปแล้วมีลักษณะเป็น สิวขนาดเล็กที่เป็นตุ่มอุดตันใต้ผิวหนังที่ไม่เกิดการอักเสบ แต่อุดตันในรูขุมขน มักพบได้มากบริเวณหน้าผากและคางในลักษณะ เม็ด ตุ่ม หรือผื่น ซึ่งเกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันนั่นเอง สิวอุดตันมีหลายชนิดด้วยกัน ที่พบได้บ่อย โดยสามารถจำแนกออกมา ได้แก่ สิวผด สิวหัวดำ สิวหัวขาว

ประเภทของสิว ประเภทของสิว

สิวจะถูกจัดประเภทจากการพัฒนาของสิวที่ต่างกันไป

สิวหัวดำหรือสิวหัวเปิด

สิวอุดตันชนิดนี้จะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก ตั้งแต่ 0.1-3 มิลลิเมตร จะเห็นว่าสิวอุดตันชนิดนี้มีจุดดำอยู่ตรงกลางของสิว เนื่องจากจุดสีดำนั้นจะเป็นกลุ่มของเซลล์ผิวที่ตายไปแล้ว รวมทั้งการอุดตันของขน เนื้อเยื่อ และไขมันภายในรูขุมขน สารเมลานิน หรือเม็ดสีที่เซลล์ผิวหนังจะทำปฏิกิริยากับสารที่อุดตันให้เปลี่ยนเป็นสีดำ มีไขมันและเชื้อ P.acne ที่ยังคงอุดอยู่ในท่อเปิดของต่อมไขมัน เราจึงเรียกว่า “สิวหัวดำ” ปรากฎเป็นจุดสีดำบนผิวหนัง

สิวหัวขาวหรือสิวหัวปิด

สิวอุดตันชนิดนี้อยู่ในประเภทของสิวที่ไม่มีหัวให้สามารถบีบและไม่สามารถกดออกจากผิวหนัง และถ้าหากบีบหรือกดสิวอุดตันหัวปิดไป อาจเป็นการกดหรือบีบไขมันที่ไม่มีทางออกจากผิวย้อนกลับไปในผิวใหม่ได้ และยิ่งทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นเสียหาย สิวอุดตันชนิดนี้ ส่วนมากเป็นตุ่มนูนเล็กน้อย โดยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ประมาณ 0.1-3 มิลลิเมตร และมีสีเดียวกับผิวหนังของแต่ละคน สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่อุดตันอยู่ภายในรูขุมขน แต่รูขุมขนที่อุดตันนั้นจะไม่ได้สัมผัสอากาศ เนื่องจากผิวหนังปิดอยู่ จึงไม่เกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ มักขึ้นในบริเวณหน้าผาก ไรผม จมูก และแก้ม เมื่อเหงื่อออกมากหรืออยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อน โดยไม่ได้ทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดหมักหมมเอาไว้ แต่ว่าการทำความสะอาดก็ไม่ควรจะรุนแรงกับผิวหน้าของคุณเช่นกัน

สิวอุดตันชนิดอื่นๆ

ไมโครโคมีโดน (Microcomedones) เป็นสิวขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

มาโครโคมีโดน (Macrocomedones) เป็นสิวอุดตันหัวปิดที่มีขนาดใหญ่กว่า 2-3 มิลลิเมตร

ไจแอนท์โคมีโดน (Giant Comedones) เป็นสิวอุดตันหัวเปิดที่มีขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นก้อนซีสต์ (cyst) และมีสีดำแบบสิวหัวดำ

โซลาร์โคมีโดน (Solar Comedones) เป็นสิวอุดตันที่อาจเกิดจากแสงแดดที่ทำลายผิวหน้า ทำให้เกิดริ้วรอยและสิวอุดตัน เกิดได้ทั้งในลักษณะของสิวหัวเปิดและสิวหัวปิด

สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอุดตัน

  • ในบางรายอาจเป็นสิวอุดตันที่เกิดจากการแพ้อาหาร หายได้ง่ายเมื่อหยุดทานอาหารชนิดนั้นๆ
  • บางครั้งเกิดจากสภาพอากาศแต่ละช่วง เช่น โดนแดดมาก หรืออากาศเย็น ผิวหน้าแห้ง
  • เกิดจากความเครียด เพราะความเครียดทำให้สุขภาพแย่ลง ภูมิคุ้มกันต่ำลง อ่อนแอทั้งสุขภาพและผิวหน้า
  • เกิดจากกรรมพันธุ์ อันนี้แก้ไขได้ยาก ได้แต่รักษาตามอาการ แล้วรอให้ผ่านไป
  • เกิดจากการครีม แป้ง สบู่ เครื่องสำอาง อันนี้เป็นต้นเหตุหลักๆของหญิงสาวสมัยนี้ที่ชอบแต่งหน้า เพราะจะไปอุดตันรูขุมขนทำให้เกิดการอุดตันได้ง่ายๆ ยิ่งต้องออกไปเจออากาศและมลภาวะข้างนอก ที่ทำให้รูขุมขนขยาย พอแต่งหน้าหรือทาอะไรทับลงไปก็เกิดการอุดตันที่รูขุมขน
  • เกิดจากระดับฮอร์โมน เช่น ในช่วงก่อนมีประจำเดือนหรือวัยที่มีประจำเดือน หรือถ้าเพศชายก็เป็นช่วงที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน ฮอร์โมนเพศจะกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้นจนทำให้ผิวไม่สามารถระบายออกมาได้ทัน ทำให้เชื้อต่างๆสะสมและแพร่อยู่ในนั้น
  • ปฏิกิริยาที่เกิดจากฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเทอโรนทำงานมากเกินไป จนเปลี่ยนเป็นไดไฮโดรเทสโทสเทอโรน ส่งผลกระทบภายในเซลล์ผิวหนังได้มากกว่าปกติ
  • สารกระตุ้นการอักเสบ (Proinflammatory Cytokines) ที่ถูกผลิตโดยเยื่อบุเซลล์ภายในรูขุมขน ซึ่งเป็นกระบวนการตอบสนองในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • เกิดความเสียหายบริเวณรูขุมขนจากการบีบสิว การขัดผิวหน้าแรงเกินไป การขัดลอกหน้าเซลล์ผิวด้วยสารเคมีรุนแรง

วิธีการป้องกัน

  • ควรเลือกโฟมล้างหน้า สบู่ล้างหน้า หรือ เจลล้างหน้า ให้เหมาะกับสภาพผิว และมีตัวยาที่สามารถป้องกันการเกิดสิว หรือถ้าไม่แน่ใจ ให้ใช้ตัวที่อ่อนโยนต่อผิวมากที่สุด
  • เลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือดีเทอร์เจนต์
  • เลือกใช้ครีมกันแดดที่อ่อนโยนและปกป้องผิว หรือควบคุมความมันได้ด้วย
  • ถ้าเป็นคนแพ้ง่ายควรใช้ครีมแก้แพ้หรือสบู่ล้างหน้าสำหรับผิวแพ้ง่าย เพราะจะไม่มีส่วนผสมของสารเคมีรุนแรง
  • ครีมบำรุงที่ใช้ไม่ควรเลือกที่มีส่วนผสมของน้ำมันและเนื้อครีมไม่ควรมัน รวมทั้งไม่มีฮอร์โมนผสมอยู่ในครีมบำรุงนั้นด้วย
  • อย่าวุ่นวายกับใบหน้า เช่น การจับ ลูบ แคะ แกะ เกาใบหน้า เพราะมือเราอาจจะสกปรก โดยที่เราลืมทำความสะอาดก็ได้
  • การล้างหน้าบ่อย จะเป็นการกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานผิดปกติ
  • เครียดมากเกินไปและนอนดึก จะมีโอกาสเป็นสิวเพิ่มขี้น เมื่อเราเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนออกมามาก ซึ่งฮอร์โมนตัวที่ว่าจะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้ยิ่งเป็นสิวมากขึ้น ทั้งที่ผิวหน้าแห้ง
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดสิวง่าย ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่มีความมัน อาหารรสชาติจัดจ้าน ขนมหวาน ไอศกรีม หรือแม้แต่ผลไม้อย่างทุเรียนก็ตาม
  • ควรให้เวลาตัวเองได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ รวมทั้งไม่ปล่อยให้อยู่ในภาวะตึงเครียด เพราะภาวะดังกล่าวจะทำให้เชื้อโรคเกิดการเจริญเติบโตได้เร็วมากขึ้น
  • ไม่ควรเอามือไปกดหรือบีบสิวเอง เพราะนอกจากจะไม่ทำให้สิวหลุดออกมาได้แล้ว ยังทำให้สิวเกิดการอักเสบขึ้นมาได้

ส่วนผสมในเครื่องสำอางที่อาจทำให้เกิดสิว

สารในส่วนประกอบของเครื่องสำอางบางตัวก็ทำให้เกิดสิวได้ เช่น สารสกัดจากสาหร่าย, ลาโนลิน, โกโก้, ไขมะพร้าว, น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันจมูกข้าว, น้ำมันเมล็ดฝ้าย Acetol acetilan, Amberate P, Butyl Sterate, Colloidal Sulfur, Crude coal tar, Decyl oleate, D&C Red no.17,21,3, Glyceryl Stearate SE, Isocetyl Stearate, Isopropyl Isostearate, Isopropyl Myristate, Isopropyl Palmitate, Isopropyl lanolate, Isosteary neopentanoate, Lauric 23, 4, Lauric acid, Lanosterin, Langogene, Myristic acid, Octyl Palmitate, Octyl Stearate, Oleth-3, PEG 8 Stearate, PEG 16 Lanolin, PEG 75 Lanolin, Propylene Glycol Monostearate, Sterolan, Sodium Chloridem Sodium Laureth Sulfate, Sodium Lauryl Sulfate, Crisco, Hygrogenated Vegetable Oil, Myristyl myristate, Mink Oil, PG 2 myristyl propionate, Sulfonated Castor Oil

วิธีการรักษาสิวอุดตัน

เมื่อเป็นสิวอุดตัน อยากจะหาวิธีลดสิวหรือวิธีรักษาสิวอักเสบ หรือตามหาว่ารักษาสิว ที่ไหนดี จริงๆเราสามารถทำได้ด้วยตัวเองหลากหลายวิธี ขั้นแรกเราสามารถรักษาได้ด้วยตนเอง โดยการใช้ยาทาเฉพาะที่สำหรับสิวหรือสมุนไพรธรรมชาติ แต่แนะนำให้ใช้ยาที่ทำมาโดยเฉพาะดีกว่า ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายจากร้านขายยา เช่น ยารักษาสิวอุดตัน ที่ทำให้สิวแห้ง

การรักษาสิวโดยใช้ยา

ยารักษาสิวอุดตันที่สามารถหาซื้อมาใช้รักษาและป้องกันการเกิดสิว เช่น ยาคุมลดสิวหรือตัวยาอื่นๆ ซึ่งเราสามารถเลือกใช้ยาเหล่านี้ได้ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรณ์ ซึ่งจะช่วยกำจัดหัวสิวให้หลุดออกไปและช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไม่ว่าจะสิวอักเสบหรือช่วยวิธีรักษาสิวผด หรือบางตัว เช่น Retinoic acid ช่วยละลายสิวอุดตันอีกด้วย แต่ตอนซื้อให้ดูว่ามีสาร tretinoin ผสมอยู่ด้วยหรือไม่ เพราะสารตัวนี้ช่วยเข้าไปช่วยปรับรูขุมขนให้ทำงานได้ดีขึ้น ป้องกันไม่ให้เกิดสิวอุดตันเพิ่ม

  • เบนซิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide)
  • กรดซาลิไซลิค (Salicylic Acid)
  • กรดอะซีลาอิค (Azelaic Acid)
  • กรดไกลโคลิค (Glycolic Acid)

การรักษาสิวโดยไม่ใช้ยา

เริ่มจากต้องปรับเปลี่ยนนิสัยปกติก่อน ว่าการทำความสะอาดผิวหน้าควรจะทำอย่างอ่อนโยน ทำความสะอาดอย่างน้อยสองครั้งต่อวันแต่ต้องไม่บ่อยจนเกินไป การผ้าเช็ดหน้าที่อ่อนนุ่มเพื่อไม่ให้บาดหรือขูดผิวหน้า หลีกเลี่ยงการทำความสะอาดอย่างรุนแรง เพราะอาจก่อให้เกิดความระคายเคืองและไปกระตุ้นให้เกิดสิวได้ นอกจากนี้ การควบคุมอาหาร ความเครียด และอื่นๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสิวเช่นกัน

วิธีรักษาสิวอุดตันด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ

นอกจากวิธีการรักษาสิวอุดตันด้วยการใช้ยาแล้ว การรักษาโดยธรรมชาติอย่างผัก ผลไม้ ที่หาง่ายและอยู่รอบตัวเราบางชนิดก็สามารถยับยั้งการอักเสบและช่วยให้สิวแห้งเร็วขึ้น

1.มะเขือเทศ

ในมะเขือเทศมีสารชนิดหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยวิตามินซี และวิตามินเอ ช่วยในการกำจัดน้ำมันส่วนเกินและทำให้รูขุมขนมีขนาดเล็ก เพียงนำมะเขือเทศลูกแดง ๆ มาฝานและถูให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ซักพักแล้วล้างออก ฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆสามารถช่วยรักษาสิวได้เป็นอย่างดี โดยสูตรมาส์กหน้าง่ายๆ ด้วยมะเขือเทศนั้นก็เพียงแค่นำมะเขือเทศสดมาบดให้ละเอียด แล้วนำโยเกิร์ต 2 ช้อนโต๊ะใส่ผสมกับมะเขือเทศที่เตรียมไว้ ขยำส่วนผสมทั้งสองให้เข้ากัน จากนั้นนำมาทาให้ทั่วหน้าเว้นบริเวณรอบดวงตากับจมูกไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที และล้างออกให้สะอาด สูตรนี้จะช่วยลดอาการอักเสบของสิวได้ดี

2.น้ำผึ้ง

น้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติสามารถฆ่าเชื้อโรคได้คล้ายกับยาปฏิชีวนะอ่อนๆ เนื่องจากน้ำผึ้งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนัง อันเป็นสาเหตุของการเกิดสิวและยังช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอย่างมีสุขภาพดี ให้นำน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ มาพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำอุ่นจะทำให้ผิวสะอาด ลดการเกิดสิวอุดตันและเป็นวิธีรักษาสิวผดอีกทางนึง

3.ขมิ้นชัน

ขมิ้นชัน ก็เป็นสมุนไพรที่ช่วยให้สิวยุบได้เร็วเช่นกัน ขมิ้นชันนั้นช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง นวลเนียน โดยสำหรับสูตรนี้แนะนำให้ใช้ขมิ้นชันเล็กน้อย ดินสอพอง และมะนาว 1 ลูก เริ่มโดยการนำขมิ้นชันไปปั่นรวมกับดินสอพองและน้ำมะนาวจนเข้าไปที่ได้เป็นเนื้อครีม แล้วก็นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วล้างออก สิวและจุดด่างดำก็จะค่อยๆ ยุบและเลือนหายไป อีกทั้งยังเป็นการบำรุงผิวของเราไปด้วย ส่วนใครที่ต้องการเพียงแค่แต้มไว้ยังจุดที่เป็นสิวก็สามารถทำได้ แต้มแล้วทิ้งไว้ทั้งคืนค่อยล้างออก

4.ไข่ขาว

ไข่ขาวก็มีคุณสมบัติช่วยรักษาสิวให้แห้งและยุบตัวเร็วเช่นกัน นำไข่ขาวผสมกับน้ำมะนาวนิดหน่อย คนให้เข้ากันดีแล้วมาทาบนใบหน้าจนทั่ว พอกทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่นและล้างตบท้ายด้วยน้ำเย็นอีกครั้งเพื่อกระชับผิว จะช่วยให้สิวและจุดด่างดำค่อยๆจางลง แถมยังทำให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใสนวลเนียนขึ้น เนื่องจากมะนาวมีกรด AHA ที่จะช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว วิธีนี้จะช่วยกำจัดได้ทั้งสิวอุดตันและสิวเสี้ยน นอกจากนี้ยังช่วยดูดซับสิ่งสกปรกจากใบหน้า ช่วยลดเลือนความมันและช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้นได้ด้วย

5.ทานาคา

ทานาคานั้นเป็นผงที่ได้จากเปลือกไม้ที่มีต้นกำเนิดจากพม่า นิยมเอามาทาหน้าเพื่อเป็นการบำรุงผิว ป้องกันแสงแดด และป้องกันการเกิดสิวได้อย่างดีอีกด้วย มีสรรพคุณที่ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง ผดผื่นและช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดความมันบนใบหน้า เพียงเตรียม ผงทานาคา น้ำผึ้ง และน้ำสะอาด ในปริมาณที่เท่าๆ กัน ผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วหน้า อาจจะเน้นไปที่บริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 แล้วล้างออก เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย

วิธีลดรอยแผลเป็นจากสิว

รอยแผลเป็นจากสิวนั้นเกิดขึ้นจากการอักเสบของสิว โดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจจะเกิดจากการแกะ เกา หรือบีบสิวก็ยิ่งทำให้เกิดรอยได้ง่าย รอยแผลเป็นของสิวจะมี 3 แบบ คือ หลุมสิว ซึ่งเนื้อเยื่อคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ถูกทำลายทำให้เกิดรอยบุ๋ม แบบเป็นเนื้อนูน อันนี้เกิดจากเนื้อเยื่อในชั้นหนังแท้ถูกทำลาย แต่มีการซ่อมแซมของผิวมากกว่าปกติจนเกินไป ทำให้เกิดเป็นเนื้อนูนขึ้น และแบบรอยแดงหรือรอยดำซึ่งตามธรรมชาติเมื่อร่างกายได้รับบาดเจ็บ ก็จะนำไปสู่การซ่อมแซมของผิวหนัง โดยเริ่มตั้งแต่การห้ามเลือดไปจนถึงการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่ใต้ผิว และกลายเป็นแผลเป็นที่สมบูรณ์ ไม่ว่าจะแบบนูน เป็นหลุม หรือรอยดำรอยแดง ขึ้นอยู่กับแผลว่าลึกแค่ไหนและการดูแลรักษาแผล

ปัญหาจุดด่างดำหรือรอยสิวเกิดขึ้นจากผลผลิตร่องรอยของสิว สิวอักเสบที่เมื่อยุบตัวลงมักทิ้งรอยดำไว้ สิวอุดตันที่เราพยายามบีบออกแบบผิดวิธีสร้างความเสียหายให้ผิวเพิ่มขึ้นจนอักเสบและเป็นแผล รอยดำและรอยแดงที่ทำให้สีผิวดูไม่เสมอกัน เพราะเอาผิวหน้าไปรับแดดโดยไม่ป้องกัน จึงทำให้ผิวเป็นทั้งรอยแดงและรอยดำ

ปัญหาดังกล่าวนั้นเราสามารถทำให้มันหายไปได้ไม่ยากเลย ด้วยการป้องกันไม่ให้เกิดสิว เมื่อเป็นสิวอักเสบควรรีบรักษาให้หาย และไม่ควรแกะหรือบีบสิว เพราะจะยิ่งทำให้สิวอักเสบมากขึ้น หายช้าลง และอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นหลังจากสิวหายได้ และไม่ควรขัดถูหน้ารบกวนใบหน้ามากไป

วิธีรักษารอยดำจากสิว

  1. หายเอง สำหรับเด็กวัยรุ่นที่อายุยังน้อย เมื่อเกิดรอยแผลเป็นจากสิวหรือจุดด่างดำจากสิว แค่รอเวลาให้รอยดำจากสิวหายไปเองไม่ต้องไปทำอะไรเยอะ เพราะสุขภาพผิวยังดีและแข็งแรงอยู่ มีพลังการรักษามาก
  2. ยาทา ยารักษาแผลเป็น การแต้มกรด TCA กรดวิตามินเอ Retin A ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และการลอกผิวชั้นนอกด้วยกรดผลไม้อย่าง AHA, BHA, PHA และเกิดการซ่อมแซม ช่วยให้หลุมสิวและรอยแผลเป็นตื้นขึ้นได้
  3. ครีมลดรอยแผลเป็นจากสิว ที่มีส่วนผสมของวิตามินอี วิตามินซี อาร์บูติน กรดโคจิก การรักษาแบบนี้ค่อนข้างใช้เวลานาน เราสามารถเลือกตัวที่อ่อนโยนต่อผิวได้ แต่ถ้าไม่ทันใจก็ไปพบแพทย์ดีกว่า
  4. การทำไอออนโต เป็นการผลักตัวยาที่เราทาเข้าสู่ผิวชั้นในด้วยกระแสไฟฟ้า และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ที่จะช่วยซ่อมแซมแผล
  5. ฉีดยาสเตียรอยด์ ส่วนใหญ่ไว้รักษาแผลเป็นนูน โดยแพทย์จะฉีดยาเข้าไปใต้ตำแหน่งของแผลเป็น ซึ่งจะช่วยให้แผลเป็นนั้นยุบลงไป และเมื่อแผลเป็นยุบแล้ว อาจต้องทำเลเซอร์ซ้ำอีกเพื่อให้ผิวเรียบ
  6. การฉีดฟิลเลอร์ สำหรับหลุมสิวโดยเฉพาะ การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มชั้นผิวหนังให้กลับมาเรียบเนียนแม้ว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นที่ดี แต่ไม่ใช่วิธีการรักษาที่ได้ผลถาวร เพราะเมื่อฟิลเลอร์สลาย หลุมสิวก็จะปรากฎขึ้นอีก อันนี้ควรไว้ฉุกเฉินจริงๆ
  7. การกรอผิว ขัดเกลาผิวชั้นนอกสุดให้หลุด เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวตึงขึ้น
  8. การทำไอพีแอล ใช้แสงความเข้มสูงที่สามารถทะลุผ่านเข้าไปจนถึงชั้นหนังแท้ โดยไม่ทำอันตรายกับผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวตึงขึ้น แผลเป็นดูดีขึ้น
  9. การใช้เลเซอร์ เป็นอีกวิธีที่เหมาะมากในการกำจัดรอยดำจากสิวอย่างรวดเร็ว ช่วยผลัดเซลล์บริเวณที่เป็นรอยอย่างล้ำลึกและเกลี้ยงเกลา

วิธีรักษาหลุมสิว

การรักษาหลุมสิวบนใบหน้าเป็นเรื่องค่อนข้างยากและต้องใช้เวลา ความอดทนสูง การรักษาถูกแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ การรักษาด้วยการทายา เหมาะกับการรักษารอยหลุมตื้นๆ การรักษาด้วยเครื่องมือแพทย์ เหมาะกับการรักษาที่เหมาะกับผู้ที่มีหลุมสิวขนาดใหญ่หรือว่าเป็นหลุมลึก ซึ่งต้องรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ร่วมกับการทายาและครีมบำรุงร่วม ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ลองดูวิธีรักษาบางส่วนที่เรารวบรวมมาให้คุณ

  1. แต้มกรด TCA เพื่อช่วยให้ผิวใหม่เกิดการแบ่งตัวมากขึ้น ช่วยทำให้รอยหลุมค่อยๆ ตื้นขึ้น แต้มเฉพาะรอยหลุมที่ต้องการรักษาเท่านั้น เพราะกรด TCA จะทำให้ผิวเป็นสะเก็ดดำ
  2. การลอกผิวด้วยกรดผลไม้ ที่มีฤทธิ์เป็นกรด AHA, BHA, PHA เพื่อช่วยทำให้เซลล์ผิวหนังด้านบนหลุดและซ่อมแซม ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น รวมทั้งช่วยในการรักษารอยดำหรือแดงจากสิวไปพร้อมกัน
  3. กรดวิตามินเอ นำมาทาบนรอยหลุมสิวเพื่อกระตุ้นคอลลาเจน สำหรับคนที่กลัวการเป็นสะเก็ดและไม่รีบรักษา
  4. Skin Needing รักษาโดยการใช้เข็มขนาดเล็กมากนำตัวยาลงไปใต้ผิว ทำให้ผิวสร้างตัวและฟื้นฟูได้เร็วขึ้น หลุมจึงตื้นและเต็มเร็วขึ้น
  5. Subcision เป็นการเลาะพังผืดใต้หลุมสิว วิธีนี้แพทย์จะใช้เข็ม Nokor ที่มีลักษณะพิเศษในการตัดพังผืดใต้ผิวหนัง แล้วทำการเซาะออกทีละหลุมจนทั่วใบหน้า
  6. ฉีดฟิลเลอร์เติมหลุมสิว รักษาหลุมสิวระดับทั่วไปในระดับตื้นถึงปานกลาง เป็นการฉีดสารเข้าไปเพื่อเติมเต็มรอยหลุมในทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้ร่างกายสร้างเนื้อขึ้นมาเอง แต่สารสามารถเสื่อมสลายไปได้เอง
  7. กรอผิว การกรอผิวเป็นอีกวิธีที่ช่วยทำให้หลุมตื้น รักษาได้เร็วขึ้น ไม่ทำให้เกิดแผลแต่ต้องทำหลายครั้ง ผลที่ได้อาจจะช้าหน่อย เหมาะสำหรับหลุมสิวตื้นเท่านั้น
  8. การใช้คลื่นวิทยุ ส่งคลื่นพลังงานเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง มีประโยชน์ในด้านการยกกระชับใบหน้าด้วย อันนี้เป็นที่นิยมและได้ผลมาก แต่แพง
  9. การทำ IPL สามารถใช้ได้ดีกับหลุมสิวระดับตื้นเท่านั้น หลุมแบบอื่นจะผลช้ามากหรือไม่เห็นผล ป็นการใช้คลื่นแสงที่มีความเข้มข้นเพื่อเข้าไปกระตุ้นคอลลาเจน
  10. เลเซอร์หลุมสิว การทำเลเซอร์นั้นสามารถทำให้คอลลาเจนใต้ผิวถูกกระตุ้นให้สร้างตัวมาก ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้ถูกเติมเต็มขึ้นมา
  11. เลเซอร์ Fraxel เป็นการใช้คลื่นแสงที่มีอนุภาคขนาดเล็กมากไปกระตุ้นเซลล์ผิวให้ซ่อมแซมบริเวณผิวที่เป็นหลุม

ตอนนี้เราเข้าใจทุกอย่างและทุกประเภทของสิวแล้ว แต่ว่านอกจากสิวอุดตันที่หน้า ยังมีสิวที่หลังอีกด้วย ซึ่งเป็นบริเวณที่คนส่วนมากมองข้าม

เรามาอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิวที่หลังได้ที่ : สิวขึ้นหลัง อยากรักษาสิวที่หลัง มาอ่านทางนี้

Similar Posts